4.
กลวิธานในการปรับตัว
คำว่า
กลวิธาน หมายถึง การใช้กลวิธี
หรือ
เทคนิคในการปรับตัวเพื่อรักษาจิตใจให้อยู่ในสภาพสมดุลเพื่อทำให้เกิดความสบายใจ
ไม่วิตกกังวลหรือเกิดความเครียดเพราะถ้าบุคคลใดมีสิ่งที่ทำให้ตนเองมีความทุกข์ใจ
มีความวิตกกังวลใจแล้วบุคคลนั้นจะไม่มีความสุขครุ่นคิดจนทำให้จิดใจฟุ่งซ้าน
วิธีที่จะทำให้คลายความวิตกกังวลใจลงได้อาจกระทำโดยใช้วิธีการต่างๆ
ที่สังคมยอมรับว่าไม่ผิดปกติและส่งผลต่อจิตใจที่เกิดความปกติได้หลังจากปรับตัวแล้วนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง
เช่น ฟรอยด์
ให้ความสำคัญของการใช้กลวิธานในการปรับตัวว่า
เป็นการทำให้ตัวเองลดความเครียดและเป็นเกราะป้องกันตัวเองที่ทำให้ตนเองใช้การปรับตัวแบบไม่ยอมรับความเป็นจริง
(Curt
and Stein 1988: 434 ) การใช้กลวิธีหรือกลวิธานในการปรับตัว
(Defense
Mechanism) มีดังนี้
- การเก็บกด (Repression)
- การอ้างเหตุผล (Rationalization)
- การโยนความผิดไปให้สิ่งอื่น (Projection)
- การย้อนกลับ (Regression)
- การชดเชย (compensation)
- การฝันกลางวัน (Fantasy)
- การนับตนเข้าเป็นพวก (Identification)
- การเสี่ยง (Sublimation)
- การกระทำตรงข้ามกับจิตใจ (Reaction – formation)
- การปฏิเสธ (Daniel)
- การชอบอวดอ้างว่าฉลาดรอบรู้ (Intellectualization)
- การทำอย่างอื่นแทน (Displacement)
- การตัดความรู้ออกไป (Isolation)
- การมีอาการป่วยทางกาย (Conversation)
1.การเก็บกด
ฟรอยด์กล่าวว่า
การเก็บกดเป็นภาวะที่ Ego
กระทำเพื่อป้องกันและมิให้การเรียกร้องของ
Id
เป็นจริงขึ้นเพื่อจะลดภาวะการกังวลใจของ
Ego
การเก็บกดเป็นการไม่ต้องการที่จะคิด
นึกถึงและกล่าวในสิ่งที่ตนเองอยากจะลืม
โดยที่แกล้งลืมบ่อย ๆ
จนสามารถลืมได้เอง ตัวอย่าง
ผู้หญิงไทยจะต้องเก็บความรู้สึกทางด้านเพศ
เพราะความเป็นกุลสตรีตามที่สังคมคาดหวังไว้
แม้จะมีความรู้สึกและความต้องการทางเพศอย่างไรจะพูดหรือจะเรียกร้องไม่ได้
การเก็บความรู้สึกเป็นอันตรายต่อต่อสุขภาพเพราะเป็นการจงใจและซ่อนความรู้สึกที่ข่มขื่นใจของตนไว้
2.การอ้างเหตุผล
เป็นภาวการณ์ที่บุคคลยกเหตุผลมาอ้างเพื่อตนเองจะมีความรู้สึกทางสบายใจแทนที่จะเกิดความกังวลใจ
เช่น พ่อแท่ที่ดุร้ายและเจ้าอารมณ์มักจะทำโทษลูกอย่างรุนแรง
โดยแสร้งพูดเพื่อลบล้างความผิดในด้านการทำโทษลูกรุนแรงเกินกว่าเหตุว่ากระทำเพราะรักลูก
กลัวลูกเสียคน เข้าทำเอง
“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”
3.การโยนความผิดไปให้สิ่งอื่น
เป็นการลดความกังวลของตนโดยแสดงการกรำต่อสิ่งอื่น
การกล่าวโทษสิ่งอื่นแทนที่จะยอมรับว่าตนเองผิด
เช่น เด็กไม่สนใจการเรียนก็จะอ้างว่า
แม่ให้ทำงานจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ
แม่บ้านปรุงอาหารไม่อร่อย
ก็โทษว่าเครื่องแกงไม่ดี
เนื้อไม่สด ทำให้เสียรสอาหาร
เป็นต้น
4.การย้อนกลับ
เป็นการแสดงพฤติกรรมดังที่เคยกระทำมาก่อนในวัยเด็ก
หรือในระยะแรกๆเช่น
เด็กต้องการให้แม่เอาใจตนจึงแสร้งแสดงกิริยาอาการเหมือนตนเองเป็นลูกเล็กๆ
ด้วยการพูดไม่ชัด กระทืบเท้าเวลาโกรธ
เป็นต้น เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น
ๆ
5.การชดเชย
เป็นการปรับตัวโดยหาจุดเด่นของตนเองมาทดแทนความบกพร่องของตนเพื่อจะลดความด้อยของตนเอง
เช่น หญิงสาวที่หน้าตาไม่สวยจะพยายามแต่งกายให้เด่น
โดยใช้สีฉูดฉาด แต่งหน้าเข้ม
เป็นต้น
คนบางคนพยายามพัฒนาความสามารถของตนในด้านอื่นๆ
เพื่อเสริมสร้างความเก่งในด้านอื่น
เช่น นโปเลียนมีรูปร่างเตี้ย
แต่เป็นนักรบที่มีความสามารถ
ปีโธเฟนนักดนตรีก้องโลก
ชาวเยอรมัน แต่ความเป็นจริง
เป็นคนหูหนวก เป็นต้น
6.
ฝันกลางวัน
เป็นการสร้างจินตนาการโดยสร้างจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของตนเองเพราะชีวิตของตนเองไม่ประสบความสำเร็จเลย
เช่น วัยรุ่นสร้างจินตนาการว่า
ตนเองเป็นคนเรียนเก่ง
หรือเป็นนักกีฬาที่คนมากมายชื่นชอบ
เป็นต้น
การสร้างวิมานในอากาศนี้เป็นการช่วยลดความตึงเครียดและกังวลใจได้แต่ถ้าพฤติกรรมบ่อยๆ
เป็นประจำ
จะทำให้มีบุคลิกภาพที่ไม่ยอมรับความจริงและนาน
ๆ
เข้าจะมีอาการของโรคประสาทและโรคจิตเพราะไม่ยอมรับและรับรู้โลกของความจริง
7.
การนับตนเข้าเป็นพวก
เป็นการปรับตัวโดยนำตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและคิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์นั้น
เช่น เมื่อตนดูละคร
ตนเองมีความรู้สึกว่าเป็นตัวละครนั้น
มีความปรารถนาเป็นตัวเอกนั้น
8.
การเลี่ยง
เป็นการแสดงพฤติกรรมในด้านการแสดงพลังงานทางเพศออกมาในรูปของงาน
สร้างสรรค์ งานศิลปะ งานพัฒนา
งานที่เป็นพระโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม
เพื่อแสดงความรู้สึกของตนเองไปสู่งานแทน
เป็นต้น
9.
การกระทำตรงกันข้ามกับใจคิด
เป็นการแสดงพฤติกรรมไม่ตรงกับความรู้สึกและความนึกคิดจริง
ๆ ของตน เช่น ภรรยาหลวงและภรรยาน้อยแสร้งทำดีต่อกัน
แต่ความจริงแล้วเพียงเพื่อแสร้งทำเท่านั้น
คนบางคนแกล้งแสดงตัวเป็นคนใจดีต่อคนอื่น
ๆ ซึ่งความจริงเป็นคนที่มีจิตใจดุร้าย
เป็นต้น
10.
การปฏิเสธ
เป็นการไม่ยอมรับความจริงเพื่อป้องกันตัวเองทั้งๆ
ที่ความจริงแล้วตนเองไม่สบายใจเลย
เช่น แม่ที่มีลูกปัญญาอ่อนมากพยายามปฏิเสธว่าลูกไม่เป็นเช่นนั้น
ผู้หญิงที่ป่วยหนักคิดว่าตนเองต้องหายและจะต้องกลับมาบ้าน
เป็นต้น
11.
การชอบอวดอ้างว่าฉลาดรอบรู้
เป็นการแสดงว่าตนเองมีความรู้
ฉลาดรู้ทันไม่ว่าจะเป็นภาคทฤษฎีหรือหลักฐานความรู้
โดยพูดอวดกับคนอื่นๆ เช่น
ชายคนหนึ่งอวดว่าเขารู้เรื่องการขับรถทุกประเภท
แม้กระทั่งขับเครื่องบินก็ได้เป็นต้น
12.
การทำอย่างอื่นแทน
การป้องกันตัวประเภทนี้บุคคลไม่สามารถแสดงความคิดเห็น
โต้แย้ง ต่อต้านกับคนที่ต้องการจะแสดงพฤติกรรมได้
เลยไปแสดงตอบโต้กับคนอื่นแทน
เช่น ชายที่ถูกภรรยาตำหนิ
เขาไม่สามารถจะตอบโต้ได้เพราะกลัวเกรงภรรยา
เมื่อมาที่ทำงานเขาจึงหาเรื่องดุว่าลูกน้องในที่ทำงานแทน
เป็นต้น
13.
กี่ตัดความรู้สึกออกไป
เป็นการตัดความรู้สึกนึกคิดที่ทำให้ตนเองมีความทุกข์
ความวิตกกังวลใจออกไป เช่น
เด็กที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้
เลยมาสอบเข้าที่วิทยาลัยครูแทนเด็กคนนี้ปลอบใจตนเองว่า
เรียนในมหาวิทยาลัยอาจจะหางานทำไม่ได้
การเป็นครูเป็นอาชีพที่ดีและหางานในชนบทได้ถ้าไม่เลือกมากนัก
เป็นต้น
14.การมีอาการป่วยทางกาย
บุคคลที่มีความขัดแย้งและมีความวิตกกังวลใจมากๆ
จะมีความรู้สึกว่าตนเองค่อยสบาย
หายใจไม่ออก มีอาการป่วยทางกายหลายอย่าง
เช่น ปวดศีรษะ ใจสั่น อ่อนเพลีย
ท้องอืด เป็นต้น
การปรับตัวโดยใช้กลไกของการป้องกันตัวดังกล่าว
เป็นวิธีที่ยอมรับกันว่าไม่ผิดปกติหรือมีความแปลกซึ่งคนส่วนใหญ่ปลอบใจตนเองว่า
ทำให้ตนเองสบายใจและไม่เป็นคนทีมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
สรุปแล้วการใช้กลวิธานในการปรับตัวของบุคคลจ่าง
ๆ นั้น จัดเป็นกลุ่มได้ดังนี้
- กลุ่มที่ใช้กลวิธานประเภทปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความจริง
การใช้กลวิธานแบบนี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกผิดชอบ
ความละอายใจ เสียความภาคภูมิใจในตนเอง
คนมักจะใช้การเก็บกดความรู้สึก
(repression)
ของตนไว้ในจิตใต้สำนึกหรือพยายามจะลืม
- กลุ่มที่ใช้กลวิธานประเภทบิดเบือนความจริงหรือหลอกตนเอง
กลุ่มนี้ใช้วิธีดังนี้
2.1
Rationalization เป็นการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง
เพื่อรักษาหน้าและกลบเกลื่อนเหตุผลที่แท้จริง
การอ้างเหตุผลมี 2
ลักษณะ
คือ
2.1.1
องุ่นเปรี้ยว
(Sour
Lemon)เป็นการบอกว่าสิ่งที่เราไม่สามารถหามาได้เพราะว่าไม่ดีจึงไม่อยากได้
2.1.2
มะนาวหวาน
(Sweet
Lemon) เป็นการอ้างเหตุผลว่าตนเองมีความยุ่งยาก
2.2
Projection
เป็นการโยนความผิดให้แก่คนอื่นเพื่อทำให้ตนสบายใจและพ้นจากความผิดเข้าทำนองว่า
“รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง”
2.3
Displacement
เป็นการถ่ายเทความขุ่นมัวทางอารมณ์จากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่ง
จัดเป็นประเภท “หุงข้าวประชดหมา
ปิ้งปลาประชดแมว”
2.4
Reaction Formation
เป็นการแสดงพฤติกรรมตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงหรือต้องการที่จะกลบเกลื่อนความรู้สึกจริง
ๆ เช่น เดินคนเดียวมืดๆ
รู้สึกหวาดกลัวจึงร้องเพลงปลอบใจเพื่อแสดงว่าตนเองไม่กลัวผิด
3.
กลุ่มที่ใช้กลวิธานประเภทหลบหนีความจริง
กลุ่มนี้ใช้วิธีดังนี้
3.1
Regression
เป็นการแสดงพฤติกรรมแบบถอยหลังไปเป็นเด็กเพื่อหลบหนีจากความจริง
เช่น การทำเสียงดัง
ร้องไห้เหมือนเด็ก พูดไม่ชัด
ปัสสาวะรดที่นอน เป็นต้น
3.2
Conversation เป็นการแสดงการหนีจากเหตุการณ์รุนแรงโดย
การเจ็บป่วย เช่น ปวดศีรษะ
ปวดท้อง ชาตามแขนามขา ปวดท้อง
เป็นต้น
3.3
Isolation
เป็นการแยกตัวเพื่อหนีจากเหตุการณ์ที่ไม่ปรารถนาเพราะไม่ต้องการเผชิญกับความจริงที่ตนเองไม่ชอบ
3.4
Fantasy
เป็นการแสดงจินตนาการสร้างวิมานในอากาศว่าตนเองได้รับความสุขสมหวังทั้ง
ๆ ที่ในชีวิตจริงมีแต่ความไม่สบายใจ
เช่น อยากเป็นคนเด่นดังในโลก
อยากเป็นดารา เป็นต้น
3.
5 Danial
เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเพราะกระทบกระเทือนอารมณ์และทำตนเองเศร้าเสียใจเกินกว่าจะสร้างความสดชื่นให้เกิดขึ้นได้
4.
กลวิธานประเภทปะทะสถานการณ์หรือก้าวร้าว
เป็นการระบายความกดดัน
ความทุกข์ยากของตนเองโดยการทะเลาะกับคนอื่น
การทำลายข้าวของหรือใช้วาจาดุด่า
ข่มขู่ อย่างหยาบคาย
การก้าวร้าวอาจแสดงออกในรูปของการกระทำและการใช้คำพูดเสียดสี
ประชดประชัน
5.
กลุ่มที่ใช้กลวิธานประเภทประนีประนอม
การปรับตัวแบบเปลี่ยนแปลงการกระทำและเปลี่ยนจุดมุ่งหมายบางประการ
แม้จะตรงกับความปรารถนาเดิม
แต่สามารถลดความตึงเครียดลงได้
เช่น
5.1
Compensation
เป็นการแสดงการกระทำในรูปอื่นเพื่อทดแทนความผิดหวังหรือทดแทนปมด้อยของตนเอง
เช่น เรียนไม่เก่งแต่เล่นกีฬาเก่งแทน
5.2
Sublimation
เป็นการแสดงพฤติกรรมที่เปลี่ยนจากสังคมไม่ยอมรับเป็นพฤติกรรมที่สังคมยอมรับเพื่อเป็นการประนีประนอมสถานการณ์
หรือเปลี่ยนแปลงรูปของอารมณ์และพฤติกรรมที่เป็นโทษมาเป็นคุณ
เช่น การเป็นนักมวย เพื่อระบายอารมณ์
ความรู้สึกก้าวร้าว รุนแรง
การเป็นนักดนตรี นักประพันธ์
นักศิลปะ เพื่อระบายความรู้สึกเก็บกดทางด้านเพศ
ความไม่สบายใจ เป็นต้น
5.3
Substitution
เป็นการแสดงออกเพื่อทดแทนหรือชดเชยความผิดหวังหรืออุปสรรคที่ตนเองแก้ไขไม่ได้
เช่น เป็นครูไม่ได้ก็เป็นผู้ช่วยครูแทน
แต่งงานกับพี่ไม่ได้ก็แต่งงานกับน้องแทน
5.4
Symbolization
เป็นการใช้สัญลักษณ์แทนความคิดหรือความรู้สึกที่ไม่เปิดเผยได้
เช่น การระบายความรู้สึกทางเพศได้
โดยการพูดในเชิงหลายแง่ตีความหมายทางติดตลก
เป็นต้น
5.5
Identification เป็นการเลียนความคิด
พฤติกรรมของคนอื่นมาเป็นตนเองเพื่อทำตนให้เหมือน
เพื่อให้ตนเองได้รับการยอมรับจากสังคมและตนเองเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น
เช่น การเลียนแบบดารา
ลูกชายแสดงพฤติกรรมเลียนแบบบิดา
เป็นต้น
8.7
การปรับตัวของบุคคลในวัยต่าง
ๆ
ก่อนที่จะศึกษาเรื่องการปรับตัวของบุคคลต่างวัยนั้น
เรามาพิจารณาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์แต่ละวัยว่าแตกต่างกันอย่างไร
8.8
พัฒนาการของบุคคลในวัยต่าง
ๆ
8.8.1
วัยเด็กตอนต้น
ลักษณะทั่วไปของวัยเด็กมีดังนี้
- พัฒนาการทางร่างกาย
ร่างกายพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพัฒนา
ฟันน้ำนมเริ่มขึ้นเมื่ออายุ
7
เดือน
ฟันแท้เริ่มขึ้นเมื่ออายุ
6
ปี
กล้ามเนื้อมัดใหญ่
พัฒนามากกว่ากล้ามเนื้อมัดเล็ก
เด็กมีทักษะทางการเคลื่อนไหวและการทรงตัว
เช่น การวิ่ง กระโดด
แต่กล้ามเนื้อมัดเล็กและสายตายังไม่พัฒนาเต็มที่
จะเห็นได้จากการจับช้อน
ปากกา ดินสอ การเขียน การวาดภาพ
- สติปัญญา
มีการพัฒนาอยู่ระดับ
(preoperational
Thought period) เด็กมีการรับรู้โดยการสังเกตเห็นความแตกต่างทางรูปธรรม
ยังไม่มีการคิดโดยใช้เหตุ
ผลทางปัญหา ตัวอย่าง
ความคงที่ของจำนวน
-เด็กจะตอบว่ามีจำนวนเท่ากัน
-เด็กจะตอบส่าแถวบนมีจำนวนมากกว่า
มวลสาร
-เด็กบอกว่ามีขนาดเท่ากัน
-เด็กจะบอกว่าก้อนกลมเล็กกว่า
ความยาว
-เด็กบอกว่าไม้
2
ท่อนมีขนาดเท่ากัน
-เด็กบอกว่าไม้
2
ท่อนยาวไม่เท่ากัน
ปริมาตร
-นำลูกบอลใส่ในแก้ว
-นำลูกบอลขึ้นจากแก้วใบหนึ่ง
เด็กบอกว่าน้ำในแก้วสูง
เด็กบอกว่าน้ำในแก้วไม่เท่ากัน
เท่ากัน
3.พัฒนาการทางภาษา
เข้าใจคำศัพท์ไม่มาก
แต่มีวงคำศัพท์กว้างจากคำที่อยู่รอบ
ๆ ตัวและเข้าใจคำศัพท์ของสิ่งแวดล้อม
รู้จักพูดประโยคสั้น ๆ ได้
4.อารมณ์
มีความอยากรู้อยากเห็น
สนใจเรื่องรอบตัว ช่างพูด
ช่างซักถาม ดื้อ อิจฉา
และก้าวร้าว กลัวจินตนาการ
กลัวความมืด กลัวสัตว์ร้าย
5.พัฒนาการด้านบุคลิกภาพ
ตามทฤษฎีอีริคสัน
วัยเด็กอยู่ในขั้นความรู้สึกด้านความคิดสร้างสรรค์
ความรู้สึกผิด ถ้าเด็กได้กระทำความดี
ทำให้ช่วยเหลือผู้ใหญ่แต่ผู้ใหญ่ไม่ชื่นชม
ได้แต่ตำหนิ เด็กจะรู้สึกว่าตนเองมีความผิด
ส่วนทฤษฎีของโคลเบอร์กอยู่ในขั้นการลงโทษและคำสั่ง
อายุประมาณ 5
ปี
การกระทำของเด็กอยู่ในระดับกระทำตามผู้ใหญ่สั่งเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดลงโทษ
ทฤษฎีฟรอยด์
วัยนี้มีความเห็นแก่ตัว(Id)
ไม่สนใจด้านการใช้เหตุผล
มีความเห็นแก่ตัว (Egocentric)
เวลาเล่นจะสนใจตนเอง
ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น
และการมีเหตุผล (Ego)
ในปลายวัยเด็กตอนต้นจะเริ่มมีเหตุผลบ้าง
(Ego)
เด็กชายและเด็กหญิงจะพัฒนาปมออดิปุสและปมอีเล็คตร้า
(Oedipus
and Electra Complex) โดยเด็กชายจะชอบแม่
ส่วนเด็กหญิงจะชอบพ่อ
ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงจะเลียนแบบการแสดงพฤติกรรมและเลียนแบบบทบาททางเพศของพ่อและแม่
ฟรอยด์กล่าววว่า
การปรับตัวของเด็กวัยตอนต้นมีดังนี้
- การเก็บกด (Repression)
- การสะกดกั้น (Subpression)
- การทดแทน (Sublimation)
- การย้ายที่ความโกรธ (Displacement)
- การชดเชย (Compensation)
- การทำปฏิกิริยาตรงกันข้าม (Reaction Formation)
- การหาเหตุผลอ้าง (Retionalization)
- การแยกตัวออกจากผู้อื่น (Isolation)
- เด็กวัยตอนกลาง
ลักษณะทั่วไป
1.พัฒนาการทางร่างกาย
โดยทั่วไปความรวดเร็วในการเจริญเติบโตเริ่มช้าลง
และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
เด็กหญิง
จะมีอัตราพัฒนาการทางร่างกายเร็วกว่าเด็กชาย
1
ปี
1
ปีครึ่ง
เด็กชายและเด็กหญิงจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นเมื่ออายุรวม
10-11
ปี
หรืออาจเร็วกว่านั้นเล็กน้อยในรายที่เด็กมีความสมบูรณ์
และแข็งแรงกว่าคนอื่น ๆ
ในระดับอายุเท่ากัน
เด็กหญิงและเด็กชายจะมีอัตราของส่วนสูงและน้ำหนักเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปเด็กชายจะมีอัตราความสูงมากกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย
กระดูกจะยาวและใหญ่ขึ้น
กระดูกแขน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น